วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

Wing Gundam


       กันดั้มภาคนี้ถือเป็นการปฏิวัตจากกันดั้มรูปแบบเดิมทั้งหมด ทั้ง TIME การออกเเบบที่ดูเท่มากขึ้น อาวุธมีหลากหลายมากขึ้น ตัวเอกมีกันหลายตัว กันดั้มก็ปาไปหลายตัวในภาคเดียว เเถมเหล่าพระเอก นางเอกหน้าตาดีจะเกิด เกิดกระเเส กันดั้ม บอยเเบรน ซะงั้น เนื้อเรื่องจะอยู่ในปี AC 195 ที่ ฝ่าย โคโลนี่ที่ทนต่อการปกครองของฝ่ายสหพันธ์โลกไม่ไหว จึงได้เริ่มเเผม เมโทโอ โดยการส่ง กันดั้มลงมา 5 ตัวลงมายังพื้นโลกในลักษณะของดาวตก เพื่อทำการบุกทำลายฐานทัพต่างๆในโลก โดยที่พระเอกของเรา ฮีโร่ ยุย พระเอกที่ขับ วิง กันดั้ม ได้ลงมาบนพื้นโลกคนเเรกและได้ทำการต่อสู้กับผู้พัน เซค เมอร์คริส ทหารของฝ่าย OZ ที่เป็นหน่วยๆนึงในสหพันธ์ ฮีโร่ได้ต่อสู้จนเสร็จสิ้น แต่เกิดพลาดท่าโดนจับทั้งคนและหุ่น ตกไปอยู่ในทะเล เเต่ก็รอดมาได้ไปสลบอยู่บนชายหาด จนนางเอกสาร รีรีน่า โดเรียน มาพบเข้า เมื่อรีรีน่าเห็นหน้า ฮีโร่เข้า ฮีโร่จึงคิดจะทำร้าย แต่ดูโอ แมคเวล คนขับกันดั้ม เดธไซส์ เข้ามาพบพอดีจึงทำการช่วยเหลือเนื่องจากกำลังกู้กันดั้มวิงขึ้นมาเพราะนึกว่าเป็นของเก็บตกได้จากทะเล
แต่เเล้วพวกเหล่ากันดั้มบอยทั้งหมด รวมถึงอีกสามคนที่เหลือ ทั้ง ควอเตอร์ คนขับกันดั้มเเซนร๊อค โทรว่าคนขับกันดั้มเฮฟวี่อาร์ม และอู๋เฟยคนขับกันดั้มเชลอง ก็ได้รับภารกิจให้ไปรวมตัวกันทำลายฐานทัพของฝ่ายสหพันธ์ที่เป็นกลลวงของฝ่ายที่ต้องการให้เกิดสงคราม เพราะฐานทัพนั้นกำลังประชุมเพื่อการอยู่ร่วมอย่างสันติกับทางโคโลนี่ เเถมเหล่ากันดั้มบอยไปจัดการซะเรียบเลย เลยโดนไล่ต้อนกลับไปอวกาศซะงั้น ทำให้ควอเตอร์ไปได้กันดั้มวิง ซีโร่ตอนอยู่อวกาศ เเล้วตอนหลังก็ถูกดูโอทำลายไปครั้งนึงเพราะระบบที่อยู่ในกันดั้มทำให้ควอเตอร์บ้าคลั่ง ไปจนกระทั่วฝ่ายไวเเฟง ที่เป็นกองกำลังอวกาศเข้ามาพบเข้าเเละเก็บไว้ให้ มิเลียนโด พีชกราฟขับ แล้วมาเเลกกับเอเปี่ยนที่ฮีโร่ขับตอนที่บุกไปช่วยรีรีน่า บนโลกเนื้อเรื่องตอนหลังจะเข้มข้นมากขึ้นเพราะนางเอกสาว รีรีน่า โดเรียน ได้รู้ฐานะของตัวเองว่าเป็นเจ้าหญิงของประเทศหนึ่งที่เคยล่มสลายไปแล้วจึงหาทางที่จะกลับไปต่อสู้กับประชาชนที่ยังเหลืออยู่ แถม เซคเมอร์ คริส ที่จริงเเล้วก็ดันเป็น มิเลี่ยนโด พีชกราฟ พี่ชายของนางเอกเราซะอีกซึ่งตอนหลังก็ไปเป็นคนขับหุ่นกันดั้ม เอเปี่ยน แถมสหพันธ์ยังโดนOZ เข้าควมคุมโดยมี เทรซ คุเซนาด้า ขึ้นเป็นผู้นำของกองทัพโลก ไปสู้กันในอวกกาศ ซึ่งฝ่ายอวกาศกลับหันไปนิยมใช้หุ่นไร้คนขับเเทน จึงทำให้กลายเป็นเหมือนเกมการต่อสู้กัน เนื้อเรื่องมาถึงจุดคลายปนที่สุดท้ายเเล้วจริงๆนั้น ทั้งมิเลียนโด เเละ เทรซที่เป็นเพื่อนรักกันต้องมาเป็ฯผู้นำของฝ่ายตรงกันข้ามกันนั้นก็เพื่อที่จะทำลายอาวุธไปให้หมดสิ้น เพื่อความดำรงอยู่อย่างสันติภาพ


Gundam Wing Episode 0

ที่เป็นเรื่องราวแต่พระเอกทั้ง5 คนว่ามีที่มาอย่างไรก่อนที่จะมาขับกันดั้ม

ส่วนGundam Wing Battle File of Pacific

นั้นจะเป็นช่วงที่เกิดหลังจากจบสงคราม ที่ฝ่าย oz ที่เหลืออยู่พบายามตามหา ดาวเคาร์ อุสคานุสที่เป็นโรงงานผลิตหุ่น โมบิลดอล ที่เหลืออยู่จากสงครามที่ผ่ามาเพื่อฝื้นฟูอำนาจขึ้นมาใหม่ แต่ฝ่ายกันดั้มบอยเเบรมก็ไม่นิ่งนอนใจตามหากันเหมือนกันเพื่อยับยั้ง แต่ก็ถูกฝ่ายที่รักสันติจอมปลอมอย่างPerfect Peace เข้าทำการยึดดาวเคราะห์อุสคานุสนี้ จึงทำให้เกิดสงครามย่อยๆในอวกาศขึ้นมาอีกครั้ง กับทั้งสามฝ่าย เพื่อรักษาสันติภาพให้คงอยู่ต่อไป





 
Side Story Wing gundam Shuttle Dream

       ภาคนี้เป็นภาคต่อของ ภาค Battle of Pacific ที่เนื้อเรื่องเกิดจากที่หุ่นกันดั้นวิงเซโร่ ถูกขโมยไปจึงทำให้ทาง ฮีโร่ต้องออกตามหา จนได้เบาะเเสจากอีเมลล์ๆนึงให้มาที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้พบกลับ ดูโอ โทรว่า อู๋เฟยที่ถูกอีเมลล์ลึกลับเรียกตัวมา ซึ่งก็เป็นแผนของควอเตอร์นี่เองที่ต้องการให้เพื่อนทุกคน มารวมตัวกัน




 Side story Wing Gundam : Gruond ZERO

    เนื้อเรื่องเหมือนกับภาค Shuttle Dream ครับ ต่างกันเเค่ชื่อของที่ญี่ปุ่นเป็นชื่อนี้



Wing gundam ของ สำนักพิมพ์ Manga House จะรวมเอา 2 ภาคมาอยู่ในเล่มเดียวกันทั้ง
Gundam Wing Battle File of Pacific เเละ Gundam Wing Episode 0 ครับ
 
Side Story Wing Gundam Blind Target

       เป็นเนื้อเรื่องที่ต่อจากภาค Shuttle Dream เรื่องเกิดจากที่ ไซเเกรน อดีตผู้บัญชาการของไวแฟงที่ยังคงเหลืออยู่ต้องการกันดั้มเเละเหล่านักบินกันดั้มเพื่อที่จะสร้างสงครามขึ้นมาใหม่ ส่วนใครที่ไม่ยอมต้องจัดการทิ้ง จึงทำให้ไปมีเรื่องกับเหล่ากันดั้มบอยเเบรนทุกคน รวมทั้ง รีรีน่า เเต่เเล้วก็ยังหนีรอดมาได้ สุดท้ายนักบินกันดั้มทุกคนก็ตกลงที่จะนำเอาหุ่นกันดั้มของเเต่ละคนมาไว้ที่อุสคานุสเพื่อที่จะให้อุสคานุสวิ่งเข้าสู่ดวงอาทิตย์เพื่อทำลายทิ้งหุ่นทุกตัว เพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน ทุกคนตกลงหมดยกเว้นอู่เฟยคนเดียว ที่ตอนหลังได้มีกลุ่มลึกลับชวนไปเข้าพวกด้วย

Side Story Wing Gundam Endless walz

        เนื้อเรื่องต่อจากภาค Blind target เนื้อเรื่อองเกิดจาก ลูกสาวของเทรซคุเซนาด้า ที่ถูกกลุ่ม บาร์ทอน ดึงเข้ามาเป็นผู้นำเพื่อที่จะประกาศเป็นผู้ปกครองโลกอย่างถูกต้องโดยใช้กำลังทหาร แถมดันไปลักพาตัวรีรีน่า เพื่อนำมาเป็นขอ้ต่อรองกับพวกกันดั้มบอยเเบรน เลยเดือดร้อนถึงพวกฮีโร่ที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือในครับนี้
 
 
 
 
Gundam G-Unit

         พระเอกภาคนี้ มี สองคน คนเเรก อาดีน เบอร์เน็ต คนขับหุ่นกันดั้ม เจมินัส G-unit1 กับ โอเดล เบอร์เน็ต คนขับ หุ่นกันดั้ม G-unit2 เรื่องมันเกิดจากที่อาณานิคม Mo-5 ที่ต้องการสร้างกองกำลังป้องกันตัวเองจึงได้สร้างหุ่นกันดั้ม G-unit ขึ้นมา 2 ตัวเพื่อเป็นหน่วยป้องกันตัวเอง แต่ดันไปเจอกับพวกหน่วย OZ ไพร์ ที่เป็นหน่วยพิเศษที่ของ OZ ในอวกาศ จึงกลายเป็นเป้าหมายเข้ากำจัด แต่พระเอกเราก็ได้ต่อสู้กันเพื่อความอยู่รอด จน คนพี่ โอเดล เบอร์เน็ตเสียท่าให้กับพวก OZ ไพร์ หุ่นระเบิดเเล้วพวก OZ ได้เก็บไปสร้างเป็นกันดั้มในเเบบของตัวเอง เป็นชื่อ กันดั้ม อัสเครปโพส ซึ่งตอนหลัง พี่ชายของ อาดีนได้ปลอมตัวเป็นบุรุษหน้ากาเหล็กเข้าไปเป็นคนขับหุ่นของพวก OZ ไพร์ เเละได้เข้าทำการต่อสู้กับพวก อาดีน แต่ตอนหลังก็ร่วมมือกับพวกอาดีนเข้าจัดการ วอลด้า ผู้บัญชาการของ OZ ไพร์ ได้ ภาคนี้มีกันดั้มออกมาหลายตัว ซึ่งฝ่าย OZ ไพร์ก็มีคนที่ขับกันดั้มอยู่หลายตัวเหมือนกัน







Wing Gundam : Frozen Teardrop

Part 1

ห่วงโซ่แห่งความทุกข์ทรมาน I
- MC file 1 -

"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้ใช้ชื่ออยู่2ชื่อ
ชายผู้นั้นคือรัชทายาทอันชอบธรรมแห่งประเทศอันสงบสุข แต่ทว่าประเทศกลับถูกทำลายลง
เพื่อล้างแค้นชายผู้นั้นได้สวมหน้ากาก เปลี่ยนชื่อไป และได้ไต่เต้าจนเป็นวีรบุรุษของกองทัพ
เขากล่าวว่า เหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลาจักต้องถูกกำจัดให้หมดสิ้นไป
ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นละ?
มันเป็นสันติภาพอันสมบูรณ์แบบอย่างงันหรือ?
หรือว่าเป็นสัญชาตญาญแห่งวีรบุรุษ?
เขาอาจจะไม่ได้ไฝ่หาสันติภาพ
เขาอาจจะเพียงแค่เหนือยจากการไล่ตามแนวคิดเพื่อสันติภาพของผู้เป็นบิดาและน้องสาวก็ได้
แต่ไม่อาจมีผู้ใดรู้ถึงความจริงอันนั้นได้....

AC195 – โดโรธี

MC-0022 ฤดูหนาวที่2
ฉันมีไม่มีชื่อ
ไม่มีอดีต
ฉันเพียงแค่อยู่ไปวันๆอย่างไร้จุดหมาย
ฉันจึงเข้าร่วมกับกลุ่มผู้ก่อนการร้ายบนดาวอังคาร
.
..
...
แต่มันกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่อะไรเติมเต็มตัวฉันได้เลย
พวกนั้นคิดทำแต่เรื่องเลวร้าย และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกนั้นเรียกฉันว่า... "ไร้ชื่อ"

เดิมที "ประวัติศาสตร์" ไม่เคยมีอยู
ซึ่งเหมือนกับตัวฉันที่ไม่เคยมีชื่อ
แนวคิดของ "ประวัติศาสตร์" คือการสำรวจของนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยทางประวัติศาสตร์
พวกเข้าได้ทำความเข้าใจเหล่าข้อมูลในอดีตและนำบางส่วนมารวมรวมจนเกิดเป็น "ประวัติศาสตร์", เป็น "การคงอยู่"
แน่นอนว่าการที่เราจะสามารถแยกตัวเราเองออกจากกระแสเวลาของจักรวาล
เฉกเช่นเดียวกับ "ประวัติศาสตร์" นั้น... เป็นไปไม่ได้
แต่เดิมการที่จะเรียกว่า "ประวัติศาสตร์" นั้นจะต้องเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ "หรือ" ประวัติศาสตร์ของโลก "หรือ" ประวัติศาสตร์ของระบบสุริยะ "หรือ" ประวัติศาสตร์ของจักรวาล
ซึ่งในมุมมองของประวัติศาสตร์นั้น ในแง่ของความหมายยังคงการขาดความชัดเจนอยู่
แต่ในแง่มรดกทางวัฒนธรรมของเหล่ามนุษยชาตินั้น "ประวัติศาสตร์" คงไม่เกินเลยไปกว่าความเชื่อที่เรียกว่า การคงอยู่ของ"พระเจ้า" ประวัติศาสตร์จะยังคงเป็นประวัติศาสตร์ตราบเท่าที่ผู้คนยังคงเชื่อมั่น

ดังนั้นฉันจึงไม่เชื่อในสิ่งที่เรียกว่า "ประวัติศาสตร์" หรือ "อดีต"
ไม่... ผู้คนไม่มีทางวัดคุณค่าของกันได้เฉพาะกับอดีต
ยังมีอีกหลายสิ่ง "ความบังเอิญ" สิ่งนั้นอาจจะช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อได้
และถ้าหากมนุษย์ทุกคนเหมือนกันแล้ว ฉันคิดว่าการเปลี่ยน "อดีต" ให้กลายเป็น "ประวัติศาสตร์" นั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็น
"เวลา" เพียงแค่เดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย....

ที่ดาวอังคาร... สหพันธ์ดาวอังคารได้ถูกตั้งขึ้นจากการรวมตัวของ Earth Sphere Mars Declaration of Independence [รัฐอิสระบนดาวอังคารในชั้นบรรยากาศแบบโลก]
จากช่วงก่อตั้งเวลาได้ผ่านล่วงเลยมาได้5ปีแล้ว (MC-0017)
ทว่า การโคจร1รอบดวงอาทิตย์ของดาวอังคารนั้นเที่ยบได้กับ 2ปี บนโลก ดังนั้นสำหรับเวลา 5ปี บนดาวอังคารเมื่อเทียบกับโลกแล้วจะเท่ากับ 10ปี
สหพันธ์ดาวอังคารได้ถูกก่อตั้งโดยประธานาธิบดีคนแรก มิลเลียร์โด•พีซคราฟต์
การเลือกตั้งของชาวดาวอังคาร ความพยายามต่างๆ และการที่กลุ่มพัฒนากลุ่มธุรกิจบนดาวอังคารไม่ได้รับการยินยอมจากเหล่าประเทศแม่ในชั้นบรรยาศโลก
ได้นำไปสู่สงครามแห่งการประกาศอิสรภาพ และการสูญเสียเลือดเนื้อเพื่อไขว่คว้า "เอกราช" ของรัฐบาลดาวอังคาร
ในการประกาศอิสรภาพครั้งนี้มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวอังคารได้เรียกตัวตนของพวกเขาว่า ชาวดาวอังคาร
และเพื่อให้มนุษย์สามารถอาศัยอยู่บนดาวอังคารได้ พวกเขาตัดสินใจก้าวถอยหลังโดยก้าวแรก พวกเขาได้ก่อตั้งปี "MC" [Mars the Century] ขึ้น
อีกทั้งยังทำการเปลี่ยนปฏิทินดาวเทียมโคโลเนียลให้ความยาวของปีหรือ (683 7), ความยาวของวันหรือ (24 ชั่วโมงที่ 03:37) ซึ่งจำเป็นต้องตรงกับเวลาตามดาวอังคาร

ตั้งแต่นั้นมา ประวัติศาสตร์ของโลกและดาวอังคารก็ได้ถูกแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์

อย่างไรก็ตามหลังจากที่กฎหมายและระเบียบของดาวอังคารเดิมถูกยกเลิกและปรับเปลี่ยน
ความไม่พอใจเกี่ยวกับการลำดับชั้นทางสังคมก็เริ่มปะทุขึ้น
เพียงไม่กี่รอบปี ก็ถือกำเนิดเป็นข้อพิพาท
การโจมตีซึ่งกันและกันภายในองค์กรพัฒนาของรัฐก็เริ่มขึ้น
ผู้คนได้แบ่งฝ่ายกันออกเป็น2ฝ่าย ฝ่ายที่ไม่พึงพอใจและฝ่ายต่อต้านความไม่พึงพอใจ
อีกทั้งทางรัฐสภาที่ประกาศตนเป็นกลางก็ไม่แสดงออกถึงความชัดเจน
ข้อพิพาทและการปราบปรามโดยใช้ศาลเตี้ยของตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงกองทัพก็ได้เริ่มขึ้น
จากศาสนาและเชื่อชาติที่แตกต่างได้ลุกลามจนกลายเป็นความเกลียดชังอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อมีเหยื่อเกิดขึ้นก็จะนำไปสูการตอบโต้คืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า งานเต้นรำอันเป็นนิรันดร์ในช่วงสิ้นสุดของคำคืนจึงเริ่มขึ้นจวบจนมามีสภาพดั่งเช่นในปัจจุบัน
ฉันกลัวว่าระบบที่เรียกว่าสันติภาพเฉกเช่นบนดาวโลกจะไม่อาจเกิดขึ้นได้บนดาวดวงนี้
บนดาวอังคารผู้คนเริ่มคิดว่าสิ่งที่พวกเขากระทำอยู่นั้นไม่อาจก่อให้เกิดสันติภาพที่ดีไปกว่า สันติภาพที่พวกเขาได้รับในช่วงเวลามากกว่า1ปีที่ผ่านมาได้
แน่นอน ระยะเวลานั้นอ้างอิงมาจากปฏิทินของชาวดาวอังคาร…


MC-0021 ฤดูหนาวที่1
การประชุมสุดยอดขนาดใหญ่ของคณะรัฐบาล กลางเมือง รีลีน่าซิตี้ บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร อายลอว์ไซออน ไอซ์แลนด์
ประธานาธิบดี เลดี้•แอน กำลังต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติจำนวนมากจากวงโคจรของโลก
เจ้าหน้าที่ ฮิลล์ เช็คสเปียร์ เอกอัครราชทูตประจำเมืองก็มาเข้าร่วมด้วยเช่นกัน
ณ. บริเวณลานปราศรัยมีสถานที่ที่เรียกว่า "Star Prince" อยู่ มันคือสถานที่ที่มีโคลด์สลีปแคปซูลประจำอยู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์
รอบๆโคลด์สลีปแคปซูลนั้น ถูกประดับประดาเต็มไปด้วยกุหลามเทียมที่ไม่มีวันร่วงโรย
อีกทั้งภายในตัวแคปซูลยังมีหญิงสาวผู้งดงามหลับไหลอยู่ด้วย
เธอคือผู้ที่ทั้งดาวอังคารและโลกต่างให้ความไว้วางใจสูงสุด รีลีน่า•โดเรียน
ฉันได้ยินมาว่า เป็นเพราะอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางจากโลกมายังดาวอังคาร ทำให้เธอยังคงนอนหลับอยู่ในโคลด์สลีปแคปซูล แต่ยังคงไม่มีการเปิดเผยเรื่อนั้นแก่สาธารณะชนทั่วไป

แต่ก่อนที่ดาวอังคาร มีสหพันธ์ดาวอังคารที่นำโดยประธานาธิบดี มิลเลียร์โด อยู่เขาได้ยืนหยัดเผชิญหน้าปราศรัยกับเหล่า กับเหล่าผู้นำรัฐ และประชาชน ในเรื่องสันติภาพ
เขากล่าวไว้ว่าสันติภาพคือคือหนทางในการสร้างประวัติศาสตร์ เป็นหนทางในการค้นหาความหมายของมนุษย์
หน่วยรักษาความปลอดภัยตัวปลอมคนหนึ่งได้ลอบเข้าไปหลังเวทีปราศรัยซึ่งมีประธานาธิบดี มิลเลียร์โด ยืนอยู่เบื่องหน้า
และได้กล่าวบางสิ่งกับเครื่องมือสื่อสารของเขา...... หลังจากนั้นสถานที่จัดงานก็ถูกปกคลุมไปด้วยแรงระเบิด
หลังจากนั้นการเตรียมการก็เสร็จสิ้น....
ตรงตามเวลาที่เขาได้วางแผนไว้กับพรรคพวก....
ท่ามกลางความยุ่งเหยิงเหล่า SP ได้นำทางประธานาธิบดี มิลเลียร์โด เข้าสู่สถานที่ปลอดภัย
และนี่คืองานของฉัน...
สมองของฉัน... ประสาทสัมผัสไปจนทุกรูขุมขนต่างกรีดร้อง.......
ผมเสียใจ....
"ทางนี้!" ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกน ปากกระบอกปืนพกของฉันก็ถูกเล็งไปที่เป้าหมาย...
เสียงดังสนั่นได้ถูกปลดปล่อยออกจากรังเพลิง หลังจากนั้นกระสุนตะกั่วก็ถูกผลักดันออกไป
มันผ่านเข้าไปยังบริเวณหว่างคิ้วของประธานาธิบดี มิลเลียร์โด ผู้แก่ชรา
ในไม่ช้าเสียงระเบิดจากพื้นที่อื่นก็ดังขึ้น...
และตามแผน...
ฉันใช้ความวุ่นวายจากการระเบิดหนีออกไปข้างนอก
ทันที่ทีถอดชุดหน่วยรักษาความปลอดภัยออก ฉันก็นำหมวกไหมพรมใบโปรดขึ้นมาสวมทันที
...หมวกขนแกะถัก ซึ่งมักจะถูกพวกเดียวกันหยอกล้อว่าเป็นผ้าขี้ริ้วสวมหัวโดยเสมอ

คนที่ฆ่าประธานาธิบดี มิลเลียร์โด•พีซคราฟต์ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวฉัน...
ฉันที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการก่อการร้าย การศึกษาเป็นอำนาจเพียงอย่างเดียวที่ฉันมี
แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่คิดที่จะสนในการเมือง...

"นั่น มันอย่นั่น!!!" เสียงของชายที่ยืนอยู่บริเวณร้านขายของได้เรียกสติของฉันให้กลับมา
Guoji Pai เป็นการรวมกลุ่มกันใหม่ของเหล่าประเทศที่อยู่บริเวณวงโคจรของโลก
อีกนัยนึงก็คือเหล่าประเทศที่ถูกตัดสิทธิ์ด้านผลประโยชน์ในการพัฒนาดาวอังคาร
ซึ่งรู้จักกันในนาม Preventer หรือจะเรียกว่าหางจิ้งจกก็เข้าท่าดี
ผ่านเขตสลัมพาราเต็นท์ ฉันอาศัยทางเดินเล็กๆบริเวณเขตพักอาศัยวิ่งออกมาเรื่อยๆ
จนสุดท้าย กองทัพก็สามารถดักตัวฉันได้
นอกจากนี้ พวกนั้นยังเป็นพวกที่สมคบกับกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องการตัวฉันด้วย
พวกมันต้องการกำจัดคนทรยศและปิดปากพยานที่ไม่ใช่พวกเดียวกันซะ
ต้องหนี...
ต้องหนีให้ได้เท่านั้น
มีโอกาศสูงมากที่ฉันจะถูกฆ่าก่อนที่จะหนีพ้น
ไม่ได้เตรียมเส้นทางหลบหนีเอาไว้ด้วย
จะไต่กำแพงหนีก็ไม่รู้ว่าจะมีช่องระบายอากาศหรืออะไรให้หลบรึเปล่า
ผู้ก่อการร้ายมีนิสัยที่มักจะแอบแทรกซึมมาทางใต้ดิน
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะกระโดดหนีขึ้นไปบนหลังคา...
และสำเร็จในที่สุดฉันก็หนีจากพวกมันมาได้
ในที่สุดความหิวและกระหายของฉันก็มาถึงขีดสุด
ฉันล้มตัวลง...
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้นั้น
ทำให้ฉันคิดว่าตัวฉันคงไม่อาจทำอะไรกับความไม่สมเหตุสมผลทั้งหลายนั้นได้
ในคำพูดอันสวยหรูที่เรียกว่าการปกป้อง การเอาชีวิตรอด
พวกเขาสามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากใดๆหากอยู่ภายใต้คำพูดอันนี้
ความคิดที่ว่าฆ่าเพื่อการอยู่รอดนั้น สำหรับฉันแล้วมันเป็นเพียงแค่การพูดให้ตัวเองดูดีเท่านั้น
แต่จักรวาลของฉันไม่ได้มีที่ว่างเพียงพอให้ฉัน "มีชีวิต" ดังนั้นฉันจึงเข้าใจ
แม้โดยผู้อื่นพยายามที่จะฆ่า ฉันก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากกว่า เล็งปืนไปที่หัวของเขา, เหนี่ยวไก และลืมมันซะ
"............"
ฉันมองไปที่นาฬิกา
เกือบจะได้เห็นดวงจันทร์แห่งความหวาดกลัว โฟบอส โฟบอส ตามเวลาของดวงอาทิตย์แล้วสิ
ฉันรู้ว่าชื่อโฟบอสที่พวกนั้นใช้ มาจากตำนานกรีก มันมีความหมายว่า ความกลัว ในตอนนี้ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
ดวงจันทร์ของดาวอังคารมืชื่อว่า โฟบอส และตัวมันก็โคจรต่างจากดาวทั่วไปคือ โคจรทวนเข็มนาฬิกา ขึ้นจากทางทิศตะวันตกและตกในทิศตะวันออก
ความเร็วในการโคจรรอบดาวอังคารสูงกว่าความเร็วในการโคจรรอบตัวเองของดาวอังคาร
ซึ่งความเร็วจะมากกว่า 2-3 เท่าต่อความเร็วในการโคจรรอบตัวเองของดาวอังคาร
ผู้คนจะได้เห็นมันเคลื่อนจากทิศทางที่ตรงข้ามเข้าหาดวงอาทิตย์อย่างช้าๆ
การปะทะอย่างรุนแรงของอุกกาบาตเมือหลายล้านปีก่อน ทำให้ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารกลายสภาพเป็นแผ่น
ก่อกำเนิดเป็นออโรร่าเฉกเช่นทุกวันนี้
ทุกครั้งที่มองมันฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากระแสของเวลาค่อยๆไหลช้าลง...
เงาเมฆค่อยๆคล้อยผ่านไป โดยทิ้งชายผู้โง่เขลาเอาไว้เบื่องหลัง
"การเปลี่ยนแปลงมันไม่ใช่ตัวตนของฉัน!!"
ฉันยังคงชอบที่จะเฝ้ามองจันทราทมิฬซ้อนทับกับดวงตะวันอันสดใส
"ยังเร็วเกินไปที่จะตาย"
ฉันค่อยๆคลานไปตามหลังคาของเขตพาราเต๊นท์ ค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นโดยใช้แผงโซล่าเซลล์ที่อยู่บนบ้านหลังหนึ่ง
และค่อยๆมองไปรอบๆ
พายุฝุ่นเริ่มโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหนาจนพระอาทิตย์ และ โฟบอส ค่อยๆเลือนหายไป
"Frozen Teardrop" หรือ หยาดน้ำตาที่ถูกเเช่เเข็งของดวงจันทร์ลำดับที่2 ดีมอส ที่สาปสูญ
"ล้อกันเล่นใช่ไหมเนีย..." ฉันหวังให้เป็นเช่นนั้น
"เยี่ยม..." ชายผู้หนึ่งเริ่มฉีกยิ้ม
เมื่อสิ้นเสียง ปืนของฉันก็เริ่มสะบัดเพื่อตามหาเจ้าของเสียงผู้นั้น
ฉันไม่มีน้ำตา
มันเป็นเรื่องที่แน่นอน
เพราะต่อมน้ำตาของฉันนั้นเสมือนถูกแช่แข็งไปเมื่อนานมาแล้ว
ในเวลาเดียวกันฉันก็ได้ยินเสียงไวโอลินดังมาจากเบื่องหลัง
ฉันรู้สึกประหลาดใจและหันไป
"......?"
ฉันพบคนสองคน คนแรกเขาเป็นชายตัวสูง และมีผมที่ยาวลงมาจนถึงมือ
ถัดมาเป็นชายรูปร่างผอมที่แต่งตัวเหมือนนักวิจัยบางอย่าง
อีกทั้งยังเป็นเด็ก เขานั่งอยู่บริเวณเท้าของชายคนแรกในมือของเขามีไวโอลินอยู่ด้วย
ไม่... พอดูดีๆดูเหมือนเธอจะสวมกระโปรงอยู่ ฉันเกรงว่าเธอคนนั้นจะเป็นเด็กผู้หญิง
เธอสวมก็อกเกิลอยู่ทำให้ฉันดูไม่ออก
"เพลงนี้เป็นเพลงของ ริมสกี คอร์ชาคอ [Rimsky Korsakov] ชื่อว่า Arabian Nights "
ทั้งสองดูไม่เกรงกลัวปืนในมือของฉันเลยแม้แต่น้อย
ฉันเลื่อนปืนไปเล็งที่บริเวณหว่างคิ้วของชายผู้นั้น เขามองมาที่ปืนและค่อยๆยกมือขึ้น
เขาอาจจะพยายามแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่การทำเช่นนี้กลับไม่เปิดช่องว่าเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาแฝงเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เด็กหญิงก็หยุดเล่นไวโอลินและถอดก็อกเกิลที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นนั้ยตาของเธอภายใต้กรอบแว่นใส
ดูเหมือนที่เธอใส่ก็อกเกิลก็เพื่อป้องกันแว่นอันนั้นจากพายุทะเลทรายดูเหมือนเธอจะให้ความสำคัญกับมันเป็นอย่างมาก
"ฉันไม่มีชื่อหรอกนะ แต่ถ้าเธออยากจะเรียกละก็ ให้เรียกฉันว่า Dr.T ละกันนะ"
งั้นหรอ? ชายคนที่เรียกตัวเองว่า Dr.T คงจะรู้ว่าฉันไม่มีชื่อ ฉันคิด...
เด็กหญิงที่ถือไวโอลินอยู่ในอ้อมแขนแอบหัวเราะ
"ถ้าไม่มีชื่อคงจะไม่สะดวกสินะ?"
"คุณผู้หญิงคนนี้คือ คุณ แคเธอรีน วู้ด•วินเนอร์ เธอเป็นบุตรีของตระกูลวินเนอร์"
ด๊อกเตอร์พูดออกมาด้วยโทนเสียงอันเยือกเย็น
"แต่ระวังหน่อยละ... เราสองคนหนะไม่ได้เป็นมิตรถึงขนาดที่เธอเห็นหรอกนะ"
มองยังไงให้เป็นอย่างงั้นฟ๊ะ... ฉันแกล้งทำเป็นเงียบแต่ยังคงถือปืนพกอยู่
"คุณรู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง?" นั่นเป็นประโยคแรกที่ฉันพูดกับพวกเขา
"ฉันรู้เรื่องทุกเรื่องของเธอ..." ด๊อกเตอร์ค่อยๆลดมือลงหลังพูดจบ
"ฉันรู้มาว่า...." สายตาของเขาคมกริบเสมือนลูกศรที่พร้อมจะเจาะหัวใจของฉัน ศัตรูจะไม่เปิดเผยความเป็นศัตรูออกมา... แต่หมอนี้กลับไม่ใช่!!!
เหมือนกลยุทธ์ในการตัดตัวเลือกของ Ju Zhao Qiang ดูเหมือนด๊อกเตอร์พยายามจะอ่านใจฉัน
"ฉันรู้ว่าถ้าเป็นฉัน ฉันจะฆ่าใคร?"
"มิลเลียร์โด•พีซคราฟต์ ที่ถูกฆ่าตายในปี AC195, แต่ถ้าเทียบกับที่วงโคจรของโลกในศึกสุดท้าย EVE WARS ถ้าเทียบจำนวนวิญญาณที่ถูกเธอช่วงชิงไปแล้ว มันช่างเป็นสิ่งที่จิ๊บจ๊อยเสียจริง......"
"แต่มันก็เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว----------"
ให้ตายเหอะ... จะให้เชื่อเรื่องที่เหมือนจะมาตำราเก่าๆอย่างคนทั่วไปหนะ สำหรับฉันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอกนะ
เพราะว่าที่ผ่านมาฉันก็ยังไม่เคยไปโรงเรียนไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการเหมือนคนทั่วไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว
"อืม... เรามาคุยเรื่องต่อไปกันเถอะค่ะ"
แคเธอรีนยิ้ม
"ตอนนี้ คุณมีสามตัวเลือก..."
เธอยืนขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆปัดฝุ่นที่เปื้อนอยู่บนชายกระโปรงออก และพูดต่ออย่างนุ่มนวล
"ฆ่าตัวตายซะที่นี่.... อยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร...."
ฉันเริ่มตระหนักในคำพูดของเธอ ถึงหนีจากที่นี่ไปได้ในไม่ช้าก็คงจะมีคนหันปากกระบอกปืนมาที่ฉันอีกเหมือนเดิม
ในขณะที่แคเธอรีนพยายามจะพูดต่อ ก็มีมือของชายคนเดิมมาหยุดเธอไว้


นัยน์ตาของด๊อกเตอร์ฉายแววออกมาดั่งพ่อแม่มองดูลูก ทำไม่ฉันถึงคิดแบบนั้นฉันก็ไม่รู้
"เธอต้องการเป้าหมาย..." ด๊อกเตอร์มองมาที่ฉันอย่างอ่อนโยน
"จะมากับพวกเราไหมละ? นั่นจะเป็นตัวเลือกที่สามของเธอ"
ฉันรู้สึกตกใจในคำพูดคำนั้น... ไอเย็นที่ลอดผ่านหมวกไหมพรมที่เสมือนผ้าขี้ริ้วยังคงตอกย้ำฉันว่ามันเป็นความจริง
"ทำไมถึงเป็นผม?" ลมเย็นที่ผสมฝุ่นสีแดงเริ่มพัดเข้ามาใกล้....
"...เพราะเธอไม่ได้มอง โฟบอส เป็นเพียงความมืดมิด แต่เธอมองมันว่าเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ยังไงละ"
"ใช่ไหมละ[ไร้ชื่อ]?"

" ............ " ผมยอมแพ้ในคำพูดนั้นจริงๆ ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่มีที่ให้หนี่ไปอีกแล้ว
สองคนนี่ไม่ใช่คนขององค์กร และก็ไม่น่าจะใช่คนของรัฐบาลด้วย
ฉันถอนหายใจ...
"ผมขอตัวเลือกที่สาม"
"ในภาษาฝรั่งเศสผมคงต้องพูดว่า Troisième chemin(ตัวเลือกที่3) สินะ.. "
"ผมยอมแพ้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสงสัยพวกคุณอีก"
"............ " ผมกลับมานิ่งเงียบและมอบปืนให้แคเธอรีน...
เธอยื่นมือมารับพร้อมกับยิ้มอย่าอ่อนโยนและยื่นไวโอลินของเธอมาให้ฉัน
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พี่ชายไร้ชื่อ"
ไวโอลินที่เธอยื่นให้มันเป็นแค่ไวโอลินจริงๆแฮะ ฉันนึกว่ามันจะมีอาวุธซ่อนอยู่ข้างในซะอีก
ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิดนะ
"อ่า..... ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ" ฉันจับมือกับเธอโดยที่ยังถือไวโอลินอยู่
"แต่ก่อนอื่นผมคิดว่าเราคงต้องเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อน"
"แล้วผมก็ยังไม่อยากเข้าไปนอนในคุกด้วย..."

"สบายใจได้ค่ะ พวกเรายังมีพรรคพวกอยู่" แคเธอรีนใช้มือเล็กๆของเธอดันแว่นขึ้นและทำสีหน้าจริงจัง
หลังจากนั้นก็มีเสียงคนบางคนดังมาจากข้างหลัง
"ทางนี้[ไร้ชื่อ]" ไม่ใช่ใครอื่น Dr.T นั่นเอง
และฉันก็นั่งโฮเวอร์คราฟต์ขนาดเล็กออกจาก อายลอว์ไซออน ไอซ์แลนด์

Part 2

ผ่านมหาสมุทรยูโทเปียมาทางตอนใต้
พวกเราค่อนข้างมีเวลาเหลือเฟือ ฉันจึงฆ่าเวลาด้วยการบรรเลงเพลงโดยไวโอลิน...
มันเป็นเพลงที่ฉันจดจำได้อย่างเลือนลาง เมือครั้งยังเด็ก
"เพลงอะไรหนะ?" แคเธอรีนถาม
"ผมไม่แน่ใจ รู้สึกมันจะชื่อ Night dance ... " "...with Endless Waltz" Dr.T พูดแทรกขึ้นมา
"มันคือ เพลงประกอบการเต้นรำที่ครื้นเครง ไม่ใช่ บทส่งคนตายอันน่าโศกเศร้า...." Dr.T พูดเป็นนัยๆ
สถานที่เป้าหมายค่อยๆปรากฎที่ขอบฟ้า
มันคือคณะละครสัตว์แห่งหนึ่ง ที่ลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ฉันไม่คิดว่าที่แบบนี้จะมีแขกมาเที่ยวได้หรอกนะ
"ให้ผมทำงานที่นี้รึ?"
"ผมทำได้ด้วยรึครับ?"
ภายในเต็นท์มีกรงของสิงโตและช้าง
ราวโหนกายกรรม และเชือกลวดเส้นบางที่โยงระหว่างเสาแต่ละต้นของตัวเต็นท์
พวกเราเดินตัดเวทีกลางไปยังสำนักงานขนาดเล็กที่อยู่ตรงข้าม
ผู้ที่รออยู่คือ บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าและผมสีบรอนซ์เงินที่ดูสำอางเล็กน้อย
เดาได้เลยว่าคงเป็นเจ้าบ้านตระกูล วินเนอร์ แน่ๆ
"ไง ยังสบายดีใช่ไหมสาวน้อย..."
"ค่ะ.. หนูสบายดีค่ะ พี่ชาย"
ไม่... สำหรับฉันสองคนนี้ดูอายุค่อนข้างห่างกันเกินกว่าจะเรียกว่าพี่น้องได้
พวกเขาเริ่มพูดคุยกันถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับ [เจ้าหญิงหิมะขาว] และ [ผู้ใช้เวทย์มนต์]
ลักษณะการผู้ของชายทั้งสองคน ค่อนข้างดูเหมือนพ่อคุยกับลูกมากกว่าพี่คุยกับน้องแต่ก็ ดูไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่
"เธอคือ [ไร้ชื่อ] สินะ" บุรุษผมบรอนซ์เงินพูดพลางยื่นกาแฟมาให้ฉัน
"เรียกผมว่า อินสตรัคเตอร์ W ก็แล้วกัน..." * Instructor = อาจารย์ผู้สอน*
ผมเข้าใจได้เลยว่า [W] ต้องมาจาก Wiener แน่นอน
"ด๊อกเตอร์ครับ แล้ว [T] ของคุณละมาจากอะไร?" ฉันหันไปถาม Dr.T พลางจิบกาแฟ
Dr.T นิ่งเงียบ... เขาไม่ได้พูดอะไรเกินกว่าความจำเป็นเช่นเคย...
"Trois (ภาษาฝรั่งเศสออกเสียง ทัว์ ญี่ปุ่นเป็น โทรว่า แปลว่า สาม)" อินสตรัคเตอร์ W หัวเราะ และตอบแทนด๊อกเตอร์
"ไม่ใช่..." Dr.T ปฎิเสธ
"[T] ไม่ได้มาจาก Trois แต่มาจาก Triton (ไทรทัน) ตัวเลข[3] ไม่มีความจำเป็นสำหรับฉันอีกแล้ว"
ด๊อกเตอร์พูดถึงเลข3ทำให้ฉันนึกได้
"ตัวเลือก3ตัว ที่คุณให้ผมเลือกงั้นรึ?"
ไม่ทันที่ฉันจะได้คำตอบ อินสตรัคเตอร์ W ก็เปิดจอมอนิเตอร์ขึ้น
ช่างเป็นเรื่องที่ฉันคาดไม่ถึงจริงๆ
ภาพที่อินสตรัคเตอร์ W เปิดขึ้นมาเป็นภาพงานศพของ มิลเลียร์โด•พีซคราฟต์
ภายใต้ความโศกเศร้าและการร่ำไห้ของเหล่าเครือญาติ
"หิมะกำลังตกหนัก..." อินสตรัคเตอร์ W มองภาพและกล่าวออกมา
ภาพในจอมอนิเตอร์ค่อยๆเลือนออกแสดงให้เห็นภาพของฝาแฝดผู้ยืนอยู่ระหว่างโลงศพผู้เป็นพ่อและมาดาม ลูเครเซีย
พวกเขาคือ ไนน่า และ มิลูน แฝดชายหญิงของอดีตประธานาธิบดี
พวกเขาดูอายุมากกว่าฉันเล็กน้อย มันทำให้ฉันรู้สึกผิดในใจลึกๆ
"เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก" อินสตรัคเตอร์ W เอามือแตะที่จอภาพ
หน้าจอเริ่มขยายและค่อยๆปรับความละเอียดของภาพ
มาดาม ลูเครเซีย นอยน์, ไนน่า และ มิลูน พวกเขาไม่ได้ร้องไห้
พวกเขาแค่เอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดที่ดวงตาไว้เท่านั้น
"คนอื่นที่ได้ดูบันทึกนี้จะคิดว่าเขาถูกฆ่าไปแล้ว" ห่างออกไปบริเวณสุดผนังห้อง Dr.T กล่าวอย่างเย็นชา
"ปัญหามันอยู่ทีชายคนนี้..."
ภาพหยุดอยู่ที่ชายผู้ยืนอยู่เบื่องหลังครอบครัวนี้ และมอนิเตอร์ก็เริ่มขยาย
ชายผู้นี้สวมเสื้อและแว่นตาสีดำ พร้อมกับผมสีบรอนซ์ยาวให้รู้สึกที่ไม่เข้ากันอย่างประหลาด
เขาดูไม่เหมือนบอดี้การ์ด หรือคนของกองทัพเลยแม้แต่น้อย
"หวังว่าเธอคงจะจำหน้าเขาได้นะ... เขาเป็นหน่วยสืบราชการลับของประธานาธิบดี....."
"เซคส์•เมอร์คิส ...." ด๊อกเตอร์พูดออกมาเบา จนผมไม่ได้ยินประโยคท้ายๆ
แต่ผมมันใจว่าคงเป็นชื่อคนแน่ๆ
"การที่เธอสังหาร มิลเลียร์โด•พีซคราฟต์ ทำให้กองกำลังปฏิรูปและอนุรักษ์นิยมของรัฐบาลเกิดความสมดุล"
"สมดุลงั้นหรอ?"
"ทำไมถึงกลายเป็นความสมดุลคะ?"
แคเธอรีนผู้กำลังเช็ดแว่นอยู่ถาม
"เพราะมันทำให้สมาชิกหลักส่วนใหญ่ของคณะปฏิรูปหลบหนีไปได้ ... หนีไปยังสาธารณรัฐ ลาน่า กรีน"
ฉันเข้าใจเป็นเพราะช่วงเปลี่ยนประธานาธิบดีทำให้ขาดการสั่งการอย่างเด็ดขาด
อินสตรัคเตอร์ W เปลี่ยนรูปที่หน้าจอมอนิเตอร์
เป็นชายผู้มีผมสีบลอนด์ แต่ไม่มีแว่นดำบนใบหน้าและ สวมครื่องแบบสีเขียวเข้ม
"นี่เป็นภาพเมื่อ3วันก่อนงานศพ"
"เซคส์•เมอร์คิส อยู่ที่สาธารณรัฐ ลาน่า กรีน ในตอนที่ตัวรัฐแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระ"
"จนเกิดเป็นการประกาศสงครามสื่อ"
"การเปิดเผยต่างๆทำให้เหล่าประชาชน ต่อต้านการแทรกแทรงของรัฐบาลโลกและข้อตกลงร่วมระหว่างโลกและดาวอังคาร"
"แค่นั้นก็แน่ใจได้แล้วว่า เซคส์ อยู่เบื่องหลังเรื่องนี้"
Dr.T พูดดังจนได้ยินชัดเจน
"ทางเลือกที่3ของเธอไม่ใช่แค่ตามเรามา แต่เป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของเราแทนของประชาชนที่ไม่สามารถต่อสู้ได้"
"เราต้องป้องกันการขยายตัวของสงคราม ไม่ให้มันลุกลามไปสู้ผู้บริสุทธิ์ค่ะ"
แคเธอรีนขยิบตาอย่างน่าเอ็นดู
"งานของผมเป็นมันเป็นงานตัวตลกตามที่คิดจริงๆด้วย"
"แต่สงครามมันยังไม่เริ่ม..."
ฉันเริ่มบอกจุดยืนของตัวเอง
"ผมเป็นก่อการร้าย ยังไงก็คงไม่เหมาะกับสนามรบเท่าไหร่"
"งั้นก็ฝึกให้เป็นนักบินซะสิ..." ด๊อกเตอร์พูดจากเบื้องหลังของฉัน
"มานี่... เรามาตรวจร่างกายของเธอกันก่อน"
"?"
ผมเดินตามหลังด๊อกเตอร์ เข้ามาในลิฟท์ที่นำไปสู่โรงเก็บใต้ดิน


การทนทานต่อทุกสภาพแวดล้อมของสาหร่ายแห้ง ที่พบบนดวงจันทร์ ยูโรปา ของดาวพฤหัสบดี
สามารถช่วยทำให้ภาวะเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารลดลงได้
ถ้าหากทำให้เกิดการเย็นตัวอย่างรวดเร็วด้วยน้ำมือของมนุษย์
จะต้องใช้เวลาของโลกถึง 2000ปี ถึงจะเริ่มเพิ่มอุณหภูมิของดาวอังคารได้
และถึงสำเร็จก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็ยังคงมีจำนวนมาก ซึ่งไม่อยู่ในสภาพสิ่งมีชีวิตจะหายใจได้
อีกทั้งการเพิ่มอุณหภูมิจากสภาวะเย็นจัด จะทำให้ น้ำแข็งขั้วโลที่เกิดจากกระบวนการก่อนหน้ากละลาย และซึมไปในก้นทะเลที่มีสภาพเป็นทะเลทรายฤดูหนาว
ลาน่า กรีน นักวิจัยการพัฒนาพื้นที่ ผู้วิจัยสาหร่าย ยูโรปา "คนแรก" ของดาวอังคาร
ในเวลานั้น "สาหร่าย ยูโรปา" คือการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงที่ไม่มีใครรู้คือมันใช้ไม่ได้
เพราะตัวสาหร่ายนั้นเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมแบบโลก
และเมือนำชั้นน้ำแข็งหนา​​เบื่องล่างสาหร่าย ยูโรปา ไปฉายด้วยแสงอาทิตย์
นักวิจัยตั้งชื่อให้แพลงก์ตอนนี้ในภายหลังว่า "จูปีเตอร์มอส"
มันมีอัตราการเพิ่มจำนวนด้วยกระบวนการสีเขียวอันน่าตื่นตะลึง
ซึ่งมันสามารถช่วยให้การปรับสภาวะของดาวอังคารจากหลายพันปีให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในไม่กี่ทศวรรษ
ด้วยการพยายามดำเนินการอย่างเร่งรีบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
การขนส่งดาวเทียมทรัพยากรอย่างเร่งรีบ ทำให้วงโคจรของดาวเทียมดวงนี้เปลี่ยนไปจนชนเข้ากับดาวอังคาร
เดิมดาวเทียมทรัพยากรนี้ควรจะมีชื่อเรียกว่า "MO-VII"
จุดตกคือ อาเจียร์ แพลนิติก [Argyre Planitia] บริเวณซีกโลกใต้ของดาวอังคาร
เช่นเดียวกับ เฮลเลส แพลนิติก [Hellas Planitia] ที่ห่างออกไป 2จุดนี้เป็นจุดที่เคยมีอุกกาบาตชนในอดีต
แต่จากการชนของดาวเทียมทำให้สภาพหลุมอุกกาบาตเป็นเหมือนภูเขาไฟ2ชั้น
กุญแจของเรื่องนี้อยู่ที่ดาวเทียมทรัพยากรมีการบรรทุกสาหร่าย ยูโรปา มาด้วย
แม้ว่าสาหร่ายจะตายแต่เมื่อ จูปีเตอร์มอส ได้รับแสงแดดพวกมันก็เริ่มกระบวนการสีเขียวขึ้น
ดาวอังคารเกิดการเปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้นโดยไม่มีใครล่วงรู้
แม้แต่ผู้คนบนพื้นที่เล็กๆบนดาวอังคาร พาราเทอร่าฟอร์มมิ่ง มันเป็นโดมเล็กๆที่ภายในทำกระบวนการปรับสภาพแวดล้อม
การที่ต้องใช้โดมเนื่องมาจากสภาพอากาศภายนอกนั้นเต็มไปด้วยพายุทรายที่ไม่มีวันหยุดซึ่งไม่อาจทำการปรับสภาพแวดล้อมได้
จนกระทั้งเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น...
ปริมาณน้ำบาดาลที่ใต้ผิวดินดาวอังคารกลับเพิ่มขี้น อีกทั้งอุณหภูมิของดวงดาวนั้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
พวกเขาจึงเริ่มสังเกตุเห็น
และในไม่กี่ปีต่อมาทะเลทรายเกินกว่าครึ่งก็ถูกเติมเต็มไปด้วยน้ำทะเล
ปล่องภูเขาไฟทั้งสองของ อาเจียร์ ก็ถูกเติมเต็มไปด้วยน้ำ จนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ไม่สิมันคือทะเล
ด้วยกระบวณการสีเขียวของพืชทำให้ความเข้มข้นของออกซิเจนเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน
จูปีเตอร์มอสได้เปลี่ยนสภาพของ อาเจียร์ ไปโดยสิ้นเชิง
มันกลายเป็นทะเลที่รู้จักกันในนาม "ลาน่า เจอลิน เฮย์"
และสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้น ณ.ที่นี้ก็ได้ถือกำเนิดเป็น สาธารณรัฐ "ลาน่า กรีน"


ลิฟท์หยุดลงที่ด้านล่าง
เบื่องล่างนั้นเป็นโรงเก็บขนาดใหญ่และเขตโรงงาน
หลังจากประตูเปิดลิฟท์ สิ่งที่ประจักต่อสายตาฉันก็คือ...
โครงเหล็กขนาดใหญ่.. ใช่แม่ว่าจะเป็นแค่โครงแต่ก็ยังมองออกว่าเป็นหุ่นรูปแบบมนุษย์
DR.T เริ่มพูดอธิบาย
"มันคือ MS (Mars Soldier) ไม่ใช่ MS (Mobile Suit)"
"ในความเห็นของฉันตัวย่อของมันเหมือนตั้งขึ้นอย่างเสียดสี"
"แม้ว่าชื่อจริงของมันจะแต่กต่าง คงเพราะภายหลังวัตถุประสงค์ของพวกมันกลับเหมือนกัน"
"ในการ MTF(Mars of Terra Former) นั้นพวกมันจะถูกใช้ในการเดินสองเท้า ร่วมกับแขนกลในการฟื้นฟูดาวอังคาร
"แต่ในบางพื้นที่บนโลกอุปกรณ์ MTF ตัวนี้ถูกใช้ในการต่อสู้และพวกเขาก็ยังคงเรียกมันว่า [Mars Soldier (MS)]"
"สำหรับการทหารนั้น มันยังเข้าร่วมในภารกิจลอบสังหารประธานาธิบดี มิลเลียร์โด อีกด้วยนินะ"
"การกดขี่ที่เกิดขึ้นตลอด จนถึงข้อพิพาทด้วยกำลังทหาร"
"คงปฏิเสธไม่ได้ ที่มันกลับมาทำหน้าที่เหมือนบรรพบุรุษ"
"พายุแม่เหล็กบนดาวอังคาร ก็เกิดจากการใช้อาวุธขนาดใหญ่ของมนุษย์เช่นกัน"
"แต่ตราบใดที่ยังมีอาวุธที่เรียกว่า MS สงบสุขก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้"
"กันดั้ม?!" ฉันตอบกลับด๊อกเตอร์เป็นครั้งแรก
"ไอ้นั้นนะหรอ... จากเรื่องที่เกิดในวงโคจรโลก มันก็คงเป็นแบบนั้นละนะ..." Dr.T ตอบฉันกลับ
ฉันไม่รู้ว่าทำไม่แววตาตอนพูดของด๊อกเตอร์ถึงดูเศร้าสร้อย
Dr.T หยุดนิ่งซักพักแล้วกลับมาพูดต่อ
"ใช่.. เจ้านี่คือสิ่งที่เรียกว่า โมบิลสูทกันดั้ม"
" [Mobile Suit] มันมาจากคำว่า [Manipulative the Order Build and Industrial Labors the Extended Suit]"
"เมื่อย่อโดยเอาแต่ตัวอักษรแรกมาก็จะได้คำว่า [MOBILE Suit]"
"ซึ่งเดิมทีมันเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้างและอุตสาหกรรม มีแค่มือจับธรรมดาเท่านั้น"
"ดังนั้นการจะเรียก MS ว่า [Martian space suits] หรือ [Martian warrior Mars Soldier]"
"ก็แล้วแต่คนเรียกจะเข้าใจ"
Dr.T สูดหายใจเข้าก่อนจะพูดถึงโครงเหล็กทั้งสอง
"นี่คือ โพรมีธีอุส (Prometheus) "
"เพียงเพื่อไฟ มนุษย์ยักษ์ผู้ทำให้ทวนเทพพิโรธ ตราบาปแห่งผู้ทรยศและคุ้มครองแห่งไททัน"
(UltimaX : โพรมีธีอุส คือเป็นเทพผู้สร้างมนุษย์ และเป็นผู้ซึ่งขโมย “ไฟ”
จากสวรรค์มาให้แก่มนุษย์ ทำให้มนุษย์เกิดความก้าวหน้าด้านอารยะธรรม
ดูได้จาก ดินปืน พลังไฟฟ้า จนถึง พลังงานนิวเคลียร์ ทุกอย่างเริ่มมาจากไฟ
มีบางคำกล่าวบอกไว้ว่า “ไฟ” ที่ โพรมีธีอุส ขโมยมาทำให้มนุษย์มีอำนาจทัดเทียมและสามารถต่อกรกับเทพเจ้าได้)

"ส่วนนี่คือ เชอเฮราซาด (Scheherazade)"
"ราชินีผู้หยุดการประหารหญิงสาวอย่างโหดร้ายของราชาไร้หัวใจ เธอผู้สร้างเรื่องราวทุกค่ำคืน"
(UltimaX : เชอเฮราซาด เป็นผู้เล่า One Thousand and One Nights, Arabian Nights หรือ พันหนึ่งราตรี
เนื่องจากสุลต่านจับได้ว่ามเหสีมีชู้จึงฆ่าทิ้งเสีย และตั้งเป้าไว้ว่าจะแต่งงานทุกวันและฆ่าคู่แต่งงานทุกๆคืน
เชอเฮราซาดเลยเสนอตัว หยุดการกระทำอันป่าเถื่อนนี้โดยอุบายการเล่านิทานให้สุลต่านฟัง
ซึ่งมักจะเล่าถึงตอนตอนสนุกในตอนเช้าจนสุลต่านอย่างรู้ต่อไปและไม่อาจฆ่าเธอลงได้
นิทานที่เธอเล่าเป็นแนวนิทานซ้อนนิทานให้ตัวละครในนิทานเล่านิทานต่ออีกจึงแทบไม่มีวันจบ หลอกลวงแบบเกรียนสุดๆ)

ตำนานเทพเจ้ากรีก กับ นิทานแฟนตาซี รึ?
ดูไม่เข้ากันเลยแฮะ
เพลงที่แคเธอรีนเล่นคงจะสื่อถึงเจ้า เชอเฮราซาด เครื่องนี้สินะ?
"ชื่อแปลกดีนะครับ"
"นี่รสนิยมคุณงั้นหรอ?"
ผมแซว ด๊อกเตอร์ เล็กน้อย
"ก็แค่รหัสการออกแบบ ไม่ได้ชอบอะไร แต่ถ้าไม่มีชื่อก็คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่"
ด๊อกเตอร์ตอบกลับมาเป็นนัยๆ
"แล้วผมจะต้องใช้ตัวไหน?"
"มันยังไม่มีการตัดสินใจในเรื่องนี้"
"สาวน้อย... เธอไม่ต้องการที่จะใช้ เชอเฮราซาด -
ซึงฉันก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แต่ อินสตรัคเตอร์ W ไม่ได้คิดแบบนั้นด้วย"
"สองคนนั้นใช้พี่น้องกันจริงๆรึครับ?"
"ก่อนที่ฉันจะตอบ คงต้องถามเธอก่อนว่า เธอจะสามารถรับเรื่องราวอันซับซ้อนได้หรือเปล่า?"
"............"
"งั้นลองคิดถึงความเป็นไปได้ดูว่า ถ้าหากเธอนำยีนของพ่อเก็บใว้ในที่แห่งหนึ่ง -
หลังจากไม่กี่สิบปีเธอก็จะได้น้องสาวจากหลอดทดลองในสถานที่แห่งนั้นเอง... คิดแบบนั้นไหม?"
"คุณกำลังเล่นมุขตลกให้ผมฟังอยู่หรือครับ?"
"ไม่แปลกที่เธอจะคิดแบบนั้น แต่ถึงหลอกเธอไปแล้วฉันจะได้อะไรละ?"
ฉันคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
แต่ถึงพูดออกไปก็คงไร้ความหมาย
"เด็กคนนั้นเป็นผู้สืบทอดของเธองั้นรึ?"
เสียงของหญิงสาวดังมาจากเบื่องบนของโครงกันดั้ม
เธอสวมชุดรัดรูปเหมือนนักกายกรรม แลดูสง่างาม เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และรอยยิ้ม
เส้นผมของเธอหยักศก ดูยืดหยุ่น ยามเธอกระโจนจากเบื่องบนลงมาจับแกนเหล็ก
และโหนตัวจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งดั่งการร่ายรำบนฟากฟ้า
จนลงมาจับสายเคเบิลที่เหนือหัวของผมและทิ้งตัวลงมาเบื่องล่างอย่างนุ่มนวล
"ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ น้องชายตัวน้อย" เธอกล่าว
กล้ามเนื้อแน่น สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ
ความงามที่หาใดเปรียบ
การกระทำท่วงท่าอันสง่างามไร้ข้อตำหนิ
ผมได้แต่หลงใหลในความงามของเธอโดยไม่ทันได้ออกเสียง
"............."
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าตกตะลึงขนาดไหน...
ซักพักเธอก็กำหมัดแน่น แล้วก็โยกกำปั้นอย่างรวดเร็วมาที่ใบหน้าของฉัน
"สวัสดี ยังสบายดีอยู่รึเปล่า?"
ในขณะที่ยังมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น?
ฉันก็พบตัวเองนั่งอยู่บนพืน โดยมีความรู้สึกปวดแปลบที่แก้ม
"ใจเย็นครับ พี่สาว"
"ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสัตว์หรืออะไรก็ตาม นั่นมันคงไม่ใช้การฝึกสอนที่ดีแน่ๆ"
"ไร้ชื่อ ขอแนะนำให้รู้จักครูฝึกของเธอ แคทเธอรีน บลูม"
"คุณ!!! คุณ แคเธอรีน งั้นหรอ?"
Dr.T เรียกเธอว่า พี่สาว แต่เท่าที่ฉันเห็นเธอไม่น่าจะอายุถึง 40 น่าจะแค่ 30 ด้วยซ้ำไป
ความเจ็บปวดจากการฝึกสอนของเธอเริ่มกระจายไปทัวใบหน้าของฉัน
ฉันยืนขึ้นและพบว่า ตัวเธอสูงกว่าฉันอีก!!!
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ แคทเธอรีน บลูม"
ผมพูดทำความรู้จักอีกครั้ง หลังพูดจบเธอก็ยื้นหน้าเข้ามาใกล้ฉันอย่างรวดเร็ว
"คุณแคทเธอรีน หรือ พี่แคทเธอรีน ถ้าครั้งต่อไปเธอไม่เรียกฉันแบบนี้ละก็ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่"
"โอเค๊~~~?"
ไม่ปล่อยเราไว้แน่ งั้นหรอ!?
ฉันเติบโตมาท่ามกลางผู้คนหลายๆแบบ แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่พูดแบบผู้หญิงคนนี้
เมื่อสติฉันกลับมา ฉันก็ได้ยินเสียนบทสนทนาระหว่าง แคทเธอรีน และ ด๊อกเตอร์
"เป็นยังไงบ้างละ?"
"ยังหลับอยู่"
"ให้เวลาเท่าไหร่?"
"750 วัน ต้องพร้อมสำหรับกันดั้ม...."
"เวลาแค่นั้นในการไปถึงระดับ S หรือ AAA ..... เด็กคนนั้นจะตายเอานะ"
"หมอนี่จะไม่ตาย..."
"OK จะจัดให้ตามที่ขอ..."
สนามฝึกคงไม่ใช่ที่นี่แหง และฉันก็คงไม่สามารถคาดเดาได้ด้วย
กระสวยอวกาศของตระกูลวินเนอร์ จะใช้เวลา 6 เดือน ในการเข้าสู่วงโคจรของโลก
แต่การไปเยื่อนวงโคจรของดาวอังคารในครั้งนี้มีเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่ คือ...
การฝึกภายใต้สภาวะไร้แรงโน้มถ่วงของฉัน...

ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ฉันออกจากดาวอังคาร
แต่ฉันก็ไม่มีเวลาได้ดืมดำกับความรู้สึกเท่าไหร่นัก
เพราะ...การฝึกของแคทเธอรีนนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว
กิจกรรมต่ายภายนอกกระสวย มีเพื่อฝึกให้ร่างการที่ชินกับสภาวะภายใต้แรง G คุ้นเคยกับสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง
อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้กระสวยเที่ยบท่าเข้ากับสถานีจ่ายพลังงานได้อย่างราบรื่นด้วย
น่าแปลกที่การคำนวนการเข้าสู่วงโคจร ไม่ได้ใช้การคำนวนด้วยคอมพิวเตอร์
แต่ใช้การคำนวนด้วยมือ
ปัญหาแรงโน้มถ่วงดูเหมือนจะหมดไป เมื่อเป็นการเดินทางในอวกาศ
แต่ปัญหากลับอยู่ที่การตรวจตราดาวเทียมต่างๆที่โคจรรอบๆดาวอังคารอย่างเข้มงวดของสหพันธ์ดาวอังคาร
เพื่อยืนยันว่าไม่มีบุคคลตามประกาศจับ (แต่เรื่องนั้นด๊อกเตอร์ช่วยจัดการบางอย่างให้แล้ว)

เข้าสู่เขต จีโอสเฟียร์ มียานอวกาศขนาดเล็กที่ชื่อ [โฟบอส] อยู่
อยากจะบอกจริงๆ ว่า [ไม่มีชื่อที่ดีกว่านี้แล้วหรอ?] แต่มันอาจจะเป็นคำใบ้อะไรบางอยากของ Dr.T ก็ได้
ผ่านมาได้ 180 วันแล้ว
ถึงพวกเขาจะบอกว่าเป็นการฝึกนักบิน แต่ฉันว่ามันเหมือนการฝึกในคณะละครสัตว์มากกว่า
ทั้งการแสดงเป็นตัวตลก ทั้งกายกรรมพื้นฐาน
หลังจากถึงวงโคจรสถานที่ฝึกก็เปลี่ยนไปเป็นโคโลนี่ร้างขนาดเล็ก
ในนั้นฉันได้ฝึก กายกรรม การยืนบอลลูกบอล การไต่เชือก และอื่นๆอีกมากมาย
ในโคโลนี่มีระดับออกซิเจนที่น้อยกว่าดาวอังคารถึง 3 เท่า มันทำให้การทำกิจกรรมต่างๆเป็นไปอย่างยากลำบาก
หลายต่อหลายครั้งฉันทำพลาดตกลงมากระแทกพื้น
จนต้องเข้ารับการรักษาและติดตั้งอุปกรณ์การแพทย์ และกลับไปฝึกต่อด้วยเวลาอันสั้น
"ไม่ติดอุปกรณ์ป้องกันอะไรซักหน่อยรึครับ?"
"ไม่... มันจะใช้เวลามากเกินไป การฝึกที่เร็วที่สุดคือการจดจำด้วยร่างกาย..."
กระดูกฉันหักมามากกว่า 50 ครั้งแล้ว มากซะจนไม่อยากจะนับมันอีก….
ในเวลาต่อมา แคทเธอรีน ได้พาสัตว์โคลนนิ่งเข้าร่วมฝึก มันมีทั้ง สิงโต เสือ และหมี
"แหม~ แค่ยื้มเขามาช่วยฝึกเท่านั้นแหละจ๊ะ~"
แม้ว่ามันจะเป็นโคลน แต่สัตว์ร้ายพวกนี้มัน.... เชื่อเถอะคุณคงไม่อยากจะฝึกกับมันซักเท่าไหร่แน่นนอน
รอยแผลจาก เขี้ยว และ เล็บ จากพวกมันมีมากซะจนฉันไม่อาจนับได้
นอกจากนี้ฉันก็รู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างทุกครั้งที่ฝึกบินกับเธอ
ต่อมา แคทเธอรีน ก็ให้ฉันฝึกเป็นเป้าปามีดให้เธอ โดยเธอบอกว่าจะปาแค่ให้เกือบโดนเท่านั้น
มือของฉันถูกมัดติดไว้กับเป้าปามีด มันแน่นซะจนทำให้ฉันรู้สึกเจ็บ แต่ก็ยังพอทนได้นิดหน่อย
ในตอนนี้ แรงโน้มถ่วงถูกเปลี่ยนให้มีค่าสูงขึ้นมาก
ฉันเริ่มลังเล แคทเธอรีน ยิ้มอย่างเป็นกันเอง แล้วก็เดินมาหยิบมีด
"ยืนดีๆ.... อย่าขยับนะ!"



แคทเธอรีน เดินไปยืนที่ด้านตรงข้าม และขว้างมีดทั้ง 8 เล่มมาที่ฉัน
เห็นได้ชัดว่าตัวฉันยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างเป้าหมายทั้ง 8
มีดทั้ง 8 เล่ม พุ่งเข้ามาหาฉันตามแนวเส้นโค้ง.... และเข้าเป้าอย่างสวยงาม
"ครั้งนี้จะเพิ่มระยะจากเดิมเป็น 5 เท่า และใช้มีด 3 เล่ม นะจ๊ะ........"
".........."
"'อ๊ะ~ งั้นปรับแรงโน้มถ่วงเพิ่มขึ้น 2 เท่าด้วยละกัน"
และตอนนี้แรงโน้มถ่วงก็มากกว่าดาวอังคาร 6 เท่าแล้ว
เมนูการฝึกในแต่ละวันเป็นสิ่งที่โหดร้ายมากเกินไป
ฉันเริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่าอาจจะถึงตายก็ได้
แต่ทุกครั้ง แคทเธอรีน จะมองตรงมาที่ดวงตาของฉันเหมือนคอยให้กำลังใจ
"ชีวิดอันเรียบง่ายหนะ คงเป็นไปไม่ได้...
หลังจากที่เธอเกิดและเติบโตมาพร้อมกับแววตาอันเปี่ยมไปด้วยพลัง
ความมุ่งมั่นจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางกายให้ผู้มีแววตาเช่นนั้น อย่างเหนือคนปกติ
และดูเหมือนเธอจะทำได้ดี ผ่าน 200 วันมาได้แล้ว ดังนั้นนี่คือรางวัลของเธอจ๊ะ~"
แคทเธอรีน ยื่นกล้วยมาให้ฉัน
อย่างไรก็ตาม ฉันก็เป็นผู้ก่อการร้าย [รางวัล] คามความเข้าใจของฉันมีเพียง [เงินสด] เท่านั้น
มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดแบบนั้น และถึงพูดไปก็คงไม่ได้มันมาอยู่ดี
"ไม่พอใจงั้นหรอ?"
ฉันคิดว่าถ้าฉันซื่อสัตย์ต่อตัวเองคงโดนอัดแน่ ดังนั้นไม่พูดอะไรดีกว่า
"ดี งั้นเรามาดูของขวัญชิ้นใหม่กันดีกว่า"
ของขวัญชิ้นใหม่คือการฝึกพิเศษยากขึ้น
พวกสัตว์ร้ายกลับมาสู่เมนูการฝึก
ฉันเคยคิดว่าพวกมันคงหมดสัญญาเช่าไปแล้ว... แต่คงไม่ใช่...
แคทเธอรีน ปรับความดันอากาศ และ ความเข้มข้นของออกซิเจนภายในโคโลนี่
เป็นที่ระดับ 8 กม. เหนือระดับน้ำทะเล
ความดันออกซิเจน และอุณหภูมิต่ำ จนถึงขีดจำกัดที่ร่างกายมนุษย์จะใช้ดำรงชีวิตได้
ฉันชักเริ่มรู้สึกอยากสูดอากาศบริสุทธิให้ชุ่มปอดซะแล้ว
ถัดจากนั้นไปอีก 50 วัน สุดยอดปรมาจารย์ก็กล่าวขึ้นมาว่า
"ยอดมาก ไร้ชื่อ"
เธอยื่นแอปเปิ้ลมาให้ฉัน
อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่เอาได้ไหม? รางวัลแบบนี้....
เธอเดินไปยืนห่างๆและตีสีหน้าเข้มงวด
"ดี งั้นเพิ่มแรงโน้มถ่วงเป็น 3 เท่า"
ตอนนี้แรงโน้มถ่วงก็มากกว่าดาวอังคาร 9 เท่าเข้าไปแล้ว
แต่ใบหน้าของ แคทเธอรีน ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
หลังจากนั้นอีก 50 วัน ก็เป็นการฝึกในสภาวะไร้น้ำหนัก บริเวนพื้นผิวดวงจันทร์
เพื่อให้ร่างกายของฉันตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงแรงโน้มถ่วงและความดันออกซิเจนที่ต่ำได้



MC-0022 ฤดูใบไม้ผลิที่2
วันนี้เป็นวันที่เราได้รับการติดต่อจาก Dr.T
"ไงครับพีสาว สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว การปรับสภาพครั้งสุดท้ายของไร้ชื่อ
ผมหวังว่าเขาคงจะกลับมาด้วยนะครับ"
นี่เป็นแค่ข้อความที่บัยทึกไว้ไม่ใช่การเชื่อมต่อโดยตรง ด๊อกเตอร์แสดงบันทึกงานแถลงการผ่านจอภาพ
"ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหพันธ์ดาวอังคารได้ถูกเลือกแล้ว
ที่ผ่านดาวอังคารถูกย้อนกลับสู่รูปแบบดั่งเดิมที่มนุษย์รู้จักคือ [เทพเจ้าแห่งสงคราม]..."
ภาพตัดไปที่ประธานาธิบดีบนแท่นแถลงการ
ประธานาธิบดีเป็นผู้หญิง
เธอสวมชุดขุนนางสีขาว และสวมหมวกเหล็กปิดบังใบหน้า
"จากจุดนี้ฉัน รีลีน่า จะเป็นประธานาธิบดีรุ่นที่สองของสหพันธ์ดาวอังคารเอง
ฉันผู้เป็นน้องสาวของประธานาธิบดีรุ่นแรก มิลเลียร์โด•พีซคราฟต์"
นี่มันตลกร้ายหรือไงกัน!!!
รีลีน่า•โดเรียน น่าจะต้องอยู่ในโคลด์สลีปแคปซูลนิน่า! เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะตื่นขึ้นมา
เธอคนนั้นคงเป็นแค่ตัวปลอมที่แอบอ้างชื่อเท่านั้น
"ฉันเคารพการตัดสินใจของพี่ชายที่ตายไปแล้ว ดังนั้นฉันยินดีจะปฎิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันเพื่อสันติภาพ
ระหว่างสาธารณรัฐ ลาน่า กรีน และ เซคส์•เมอร์คิส ซึ่งต้องสอดคล้องกับอนุสัญญาอื่นเช่นกัน"
ประธานาธิบดีหญิงถอดหมวกเหล็กออกและกล่าวว่า
"ทุกท่านโปรดมองมาที่ใบหน้าของฉัน"




ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นใบหน้าของเด็กสาวที่น่ารัก
"รีลีน่า..."
แคทเธอรีน อุทานออกมา
"ลาก่อน รีลีน่า•โดเรียน"
"จากวันนี้เป็นต้นไปฉันคือ รีลีน่า•พีซคราฟต์ ผู้นำสูงสุดแห่งสหพันธ์ดาวอังคาร
ที่จะไม่มีอาวุธและไม่ใช้ความรุนแรง"
"สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ พีซคราฟต์ งั้นรึ? โดเรียน เป็นตัวแทนสันติภาพอันสมบูรณ์แบบไม่ได้สินะ?"
"เธอคิดว่าจะใช้เรื่องไร้สาระเพื่อให้คนอื่นยอมรับมันงั้นหรอ? เฮอะ~ คิดอะไรตื้นๆเหมือนเด็ก"
"ผมว่า คุณแคทเธอรีน ก็ดูเป็นเด็กเหมือนกันครับ"
เธอหันมาลูบหัวที่สวมหมวกไหมพรมอยู่ของฉัน
"ผมไม่ได้ชมนะครับ"
แคทเธอรีน ถอนหายใจเอือกใหญ่ ก่อนจะกลับมายิ้ม
"งั้นกลับไปที่ดาวเทพเจ้าแห่งสงครามกันเถอะ"
ฉันใช้ในการฝึกไปร่วมเกือบ 300 วัน
ยานอวกาศโฟบอสก็เริ่มบินกลับวงโคจรดาวอังคารภายใต้การนำทางของแสงนพเคราะห์

ในเวลานี้ฉันมีทักษะกายกรรมที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
ทัศนคติของฉันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วย
การฝึกแบบละครสัตว์ ทำให้เกิดความสามารถที่ว่า [ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คาด]
ไม่ว่าผลลัพท์จะเป็นอย่างไร ฉันก็สามารถใจเย็นรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เหมือนเป็นเรื่องปกติ
ต้องขอบคุณ แคทเธอรีน
เธอมักจะสร้าง "เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน" และการตอบสนองที่ไม่เหมือนคนธรรมดาขึ้น
ก่อนหน้านี้ฉันเป็นแค่พวก [ไร้จินตนาการ]
ฉันไม่คิดอย่างอื่น นอกจากแค่เชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
มันทำให้เมื่อตอนลอบสังหารประธานาธิบดี มิลเลียร์โด พวกนั้นถึงไม่เอะใจในการทรยศของฉัน
ฉันจึงสามารถหลบหนีไปได้ แม้สภาพจะไม่ค่อยน่าดูก็ตาม
หากทำสิ่งใดๆอย่างสงบเยือกเย็นเราจะสามารถวิเคราะห์เตรียมความพร้อมต่างๆ
และสามารถสร้างทางเลือก จำลองเหตุการณ์ในหัวมากมายไว้รับมือ-
ต่อเหตุที่สามารถเกิดในอนาคตได้
แต่หากไปถึงสถานการณ์ที่ไม่ได้หวังเอาไว้ขึ้นมา
ก็คงเป็นเพราะยังมีจินตนาการไม่เพียงพอ
แต่การยอมรับผลที่เกิดขึ้นอันนั้นก็ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง
แม้ว่าผลลัพท์ที่เลวร้ายที่สุดจะเป็นความตาย ฉันก็จะไม่เสียใจ
การกระทำของฉันไม่มีความหวาดกลัวและลังเล
ดั่งชื่อแห่งความหวาดกลัว [โฟบอส]

To be continued in Part-3     

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น